กินเจอย่างไรให้สุขภาพดี

     ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่หันมากินเจกันมากขึ้น แต่ด้วยเทคโนโลยีอาหารในปัจจุบัน มีการเอาวัตถุดิบที่ผ่านการแปรรูป หรือเครื่องปรุงต่าง ๆ มาใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ หรือทำให้กลิ่นและรสสัมผัสของอาหารนั้น ๆ ให้คล้ายเนื้อสัตว์ อาจมีส่วนผสมของสารปรุงแต่ง สารกันบูด โซเดียม ซึ่งหากรับประทานมาก ๆ อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ นอกจากนี้ อาหารเจ มักทำมาจากแป้งเป็นหลัก หรือมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบอยู่มาก ซึ่งถ้าเราบริโภคไม่ถูกหลักโภชนาการ ก็มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ ดังนั้น เราควรพิจารณาเมนูอาหารให้เหมาะสม เพื่อให้ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจไปพร้อม ๆ กัน

เทคนิคการกินเจให้ดีต่อทั้งสุขภาพและน้ำหนักตัว

• ทานอาหารจำพวกแป้งในปริมาณที่พอดี

     เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานที่ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป แป้งที่ทานควรเลือกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น เลือกรับประทานข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ แทนข้าวขาว เนื่องจากไม่ทำให้น้ำตาลสูงโดด มีใยอาหารทำให้อิ่มนาน มีวิตามิน แร่ธาตุ ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า และดีต่อระบบขับถ่ายอีกด้วย

• เลี่ยงการทานอาหารที่มีความมันมาก ๆ เช่น ของผัด ของทอด

     การรับประทานอาหารประเภทไขมันมากเกินไปอาจทำให้เกิดการสะสมไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ เช่น เส้นเลือด อวัยวะภายใน หรือไปสะสมอยู่ที่ใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ อาหารประเภทไขมันยังให้พลังงานที่สูงมาก อาจทำให้น้ำหนักขึ้นได้

• เน้นทานอาหารจำพวกผักผลไม้เป็นหลัก

     เลือกทานผักผลไม้ให้หลากสี เพื่อที่ร่างกายจะได้รับวิตามินและสารที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง เลือกผลไม้ที่หวานน้อย หรือมีดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ชมพู่ ฝรั่ง แอปเปิ้ล หรือแก้วมังกร เป็นต้น ผลไม้เหล่านี้ นอกจากจะช่วยลดความอยากทานของหวานได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มกากใยช่วยด้านระบบขับถ่าย

• อย่าลืมเพิ่มการรับประทานอาหารจำพวกโปรตีน

     เนื้อสัตว์เป็นแหล่งอาหารโปรตีนแหล่งใหญ่ เมื่อเรากินเจจึงอาจทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนไม่เพียงพอได้ จึงควรเลือกรับประทานอาหารเจที่ให้โปรตีนสูง เช่น โปรตีนเกษตร เต้าหู้ และถั่วหรือธัญพืชชนิดต่าง ๆ เป็นต้น

• เลือกเมนู ตุ๋น ต้ม อบ นึ่ง ยำ

     เนื่องจากเมนูอาหารดังกล่าวมักให้พลังงานไม่มาก จึงสามารถทานได้ในปริมาณที่มากหน่อยได้ ทำให้อิ่มและอยู่ท้องมากขึ้น แต่แนะนำให้เลี่ยงอาหารที่ผ่านการเคี่ยวนาน ๆ เช่นต้มจับฉ่าย เนื่องจากอาจทำให้คุณค่าของสารอาหารสูญเสียไป

     แม้การกินเจจะมีข้อดีต่อร่างกาย แต่ก็อาจไม่เหมาะกับคนบางกลุ่มที่เสี่ยงต่อการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เช่น เด็กวัยเจริญเติบโต หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ต้องการสารอาหารเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย จึงควรเลือกรูปแบบวิธีการกินอาหารให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเอง